ประกันชีวิตเป็นการซื้อความคุ้มครองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ที่อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้เอาประกันหรือครอบครัวของเขา หนึ่งในเครื่องมือบริหารความเสี่ยง เป็นทุนสำรองในอนาคตหรือคุ้มครองตอนเจ็บป่วย โดยประกันชีวิตมักมีลักษณะการให้ความคุ้มครองดังนี้
1.ประกันชีวิตประเภทต่าง ๆ: ประกันชีวิตมีหลายรูปแบบ เช่น ประกันชีวิตที่มีการชำระเบี้ยประจำ (whole life insurance) หรือประกันชีวิตที่มีการชำระเบี้ยประจำในระยะเวลาจำกัด (term life insurance) ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment) แต่ละประเภทจะมีลักษณะการคุ้มครองและการชำระเบี้ยที่แตกต่างกัน
2.การคุ้มครองเงินสดในกรณีเสียชีวิต: หากผู้เอาประกันเสียชีวิตขณะที่มีกรมธรรม์ประกันอยู่ บริษัทประกันจะจ่ายเงินสดให้กับผู้รับประกันหรือครอบครัวของเขาตามจำนวนเงินที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์
3.การคุ้มครองในกรณีที่เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ: บางกรมธรรม์ประกันชีวิตอาจคุ้มครองในกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุด้วย
4.การช่วยเหลือในกรณีความเสี่ยงทางการเงิน: บางประกันชีวิตอาจมีส่วนช่วยเหลือในกรณีเฉพาะ เช่น เงินช่วยเหลือในกรณีต้องเจ็บป่วยร้ายแรง หรือสิทธิประโยชน์ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เสียชีวิตหรือสูญเสียสมรส
5.การสะสมเงินเพื่อการเงินเดือนเกษียณ: บางประกันชีวิตยังเป็นวิธีสะสมเงินเพื่อใช้ในการเกษียณหรือตอนที่ไม่สามารถทำงานได้แล้วด้วยเงินเดือนเกษียณ
6.การลดภาระการเสียภาษี: บางประกันชีวิตอาจมีผลต่อภาษีเงินได้ ในบางกรณีการชำระเบี้ยประกันชีวิตอาจมีส่วนลดภาษีที่ผู้เอาประกันสามารถใช้ประโยชน์ได้
เข้าใจผลประโยชน์ของประกัน ในกรณีที่ยังมีชีวิตอยู่ และเสียชีวิตลงแล้ว
-กรณีที่มีชีวิตอยู่ เช่น จะมีเงินคืนเมื่อสิ้นปีกรมธรรม์ที่เท่าไหร่ เป็นร้อยละเท่าไหร่ จากทุนประกัน หรือเมื่อครบสัญญาจะได้อีกร้อยละเท่าไหร่
-กรณีที่เสียชีวิต มีการคำนวณจากช่วงปี หรือระยะเวลาที่เสียชีวิต จะมีความคุ้มครองชีวิตคิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ของทุนประกัน ในส่วนนี้จะมีตารางสรุปเอาไว้ให้ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญอย่ามาก เป็นรายละเอียดที่ละเลยไม่ได้อีกเช่นกันก่อนตกลงเซ็นสัญญาการซื้อประกัน
สรุปได้ว่า ประกันชีวิตเป็นการให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่เสี่ยงต่อชีวิตและเงิน แต่ควรทราบถึงเงื่อนไขและข้อจำกัดของกรมธรรม์ที่คุ้มครองเพื่อให้สามารถเลือกประกันชีวิตที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณเอง